ปัญหาน้ำ-ปัญหาโลก
หากเราแบ่งโลกออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน จะพบว่า 3 ใน 4 ส่วนของโลกคือน้ำ แต่อย่าเพิ่งดีใจไปว่าเรามีน้ำมากมายมหาศาล เพราะแท้จริงแล้วเรามีน้ำจืดเพียงร้อยละ 2.5 เท่านั้น ส่วนที่เหลือร้อยละ 97.5 เป็นน้ำเค็ม และที่สำคัญ 2 ใน 3 ของปริมาณน้ำจืดที่มีอยู่ก็อยู่ในสภาพของน้ำแข็งบ้าง ส่วนที่ไม่ใช่น้ำแข็งส่วนใหญ่ก็อยู่ใต้ดินบ้าง ดังนั้นน้ำบนดินที่ปรากฏให้เห็นในแม่น้ำ คู คลอง หนอง บึง นั้นนับว่าเป็นน้ำส่วนที่น้อยอย่างยิ่งของน้ำในโลก-ดวงดาวสีน้ำเงินใบนี้
องค์การสหประชาชาติ หรือ UN เปิดเผยในการประชุมระดับโลกทางด้านน้ำจืด หรือ World Water Forum ที่กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกีในปี ค.ศ. 2008 ว่าประชากรโลกจะเพิ่มจาก 6.5 พันล้านคนในปัจจุบันเป็น 9 พันล้านคนในปี ค.ศ. 2050 โดยเพิ่มขึ้นในประเทศกำลังพัฒนาและหลายพื้นที่ เช่น แอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง มีปัญหาการขาดแคลนน้ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อัตราการเติบโตของประชากรดังกล่าวทำให้ความต้องการน้ำเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ละปีประชากรโลกมีความต้องการน้ำจืดเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 64,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ทรัพยากรน้ำของโลกร่อยหรอลงไปอย่างต่อเนื่อง ความน่าจะเป็นในการเกิดปัญหาด้านการจัดสรรทรัพยากรน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัด จึงมีค่อนข้างสูง คาดว่าเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลกจะประสบปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณสาธารณรัฐประชาชนจีนและเอเชียใต้ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ปัญหาทวีความรุนแรงขึ้นอีกด้วย
มีตัวเลขจาก UN ยืนยันเช่นกันว่า แม้โลก จะมีน้ำเป็นองค์ประกอบถึง 3 ใน 4 ส่วน แต่ประชากร 1 ใน 5 ของโลกกลับขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับการบริโภค ส่งผลให้มีคนเสียชีวิตจากโรคภัยที่เกิดจากการขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับการบริโภคถึงปีละ 27 ล้านคน หรือ 1 คนในทุก 8 วินาที ช่างเป็นตัวเลขที่น่าตกใจไม่น้อย จากการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม พบว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ปัญหาเกี่ยวกับน้ำนั้นมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในหลายๆ ด้าน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ระดับน้ำในแม่น้ำหลายสายของโลกลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่น้ำสายสำคัญของโลก 9 สาย อันได้แก่ แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำดานูบ แม่น้ำลาปาสตา แม่น้ำคงคา แม่น้ำสินธุ แม่น้ำไนล์ แม่น้ำมอเรย์แอนด์ดาร์ลิง และแม่น้ำแยงซี ซึ่งทั้งหมดกำลังเกิดวิกฤติจากปริมาณน้ำที่ลดลงถึงร้อยละ 50 และยังพบว่าทะเลสาบในจีนกว่า 500 แห่ง ได้หายไป เนื่องจากการจัดการชลประทานเพื่อการเพาะปลูกขนาดใหญ่ที่รัฐบาลจีนดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน สาเหตุสำคัญที่ทำให้ปัญหาเรื่องน้ำกลายเป็นวิกฤติโลก มิใช่เพียงอัตราการเติบโตของประชากรโลกเท่านั้น หากยังเกิดจากการสร้างความสะดวกสบาย และหรูหราของมนุษย์เมื่อมีสถานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น มีการอพยพเข้ามาสู่สังคมเมืองมากขึ้น รูปแบบของการบริโภคอาหารก็เปลี่ยนแปลงไป โดยสัดส่วนการบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นกว่าการบริโภคพืชผักผลไม้ดังที่เคยเป็นมา เมื่อครั้งอดีตการผลิตสัตว์นั้นจำเป็นต้องใช้น้ำมากกว่าการผลิตพืช กล่าวคือ การผลิตเนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัมใช้น้ำ 3,000- 15,000 ลิตร ในขณะที่การผลิต ข้าว 1 กิโลกรัมใช้น้ำเพียง 1,000 ลิตร อีกทั้งมลพิษทางน้ำที่เกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรม และเกษตรกรรม อันขาดการจัดการที่มีประสิทธิภาพส่งผลให้ความรุนแรงของวิกฤติน้ำเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ในระดับโลก พบว่า ปัญหาเรื่องน้ำยังไม่มีองค์กรใดเป็นผู้รับผิดชอบปัญหาทั้งระบบอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่มีหน่วยงานมารองรับ มีกระบวนการทำงาน และเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกันในการจัดการปัญหา ตลอดจนประชากรโลกเองก็ยังไม่ตระหนักถึงคุณค่าของน้ำและปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างแท้จริง แม้จะมีคำกล่าวว่า “น้ำคือชีวิต” ให้ได้ยินมานานแล้วก็ตามประเด็นหนึ่งที่น่าขบคิดคือ การผลิตพืชพลังงาน เพื่อทดแทนการใช้พลังงานไฮโดรคาร์บอนที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบัน หลังจากที่การใช้พลังงานจากไฮโดรคาร์บอนเริ่มสร้างปัญหาให้กับโลกใบนี้ กอปรกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในภาวะผันผวนและถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระบวนการผลิตพืชพลังงานทดแทนดังกล่าวมีการใช้น้ำถึง 2,500 ลิตร เพื่อผลิตให้ได้ biofules 1 ลิตร การเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารส่งออก หรือการเป็นครัวของโลกนั้น ส่งผลให้การใช้น้ำในประเทศสูงจนน่าตกใจ (อีกแล้ว) เพราะสินค้าเกษตรและอาหารที่ส่งออกนั้นมีการใช้น้ำในประเทศผู้ผลิต และเมื่อประเทศผู้นำเข้าซื้อไปบริโภคก็เปรียบเหมือนเป็นผู้ใช้น้ำของประเทศผู้ผลิตในทางอ้อมด้วย เรียกว่า เป็นผู้ใช้น้ำเสมือนหรือ virtual water และเมื่อภาวะขาดแคลนน้ำเกิดขึ้น การผลิตสินค้าเกษตรและอาหารก็จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น ในทางกลับกันหากเราผลิตให้เพียงพอในระดับหนึ่ง (ตอบได้ยากว่าจะเป็นระดับไหน) เราก็จะมีน้ำเพียงพอสำหรับประชาชนคนไทยด้วยกัน และยังเหลือไว้สำหรับลูกหลานในอนาคตด้วยความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ การเติบโตของประชากรโลก การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต และความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติลดลง ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งเรื่องน้ำอย่างรุนแรงในอนาคต จึงเป็นที่มาของคำว่า Water Footprint
นั่นเอง
Water Footprint : รอยย่ำของน้ำ
จะว่าไปแล้ว แนวคิดเรื่อง Water Footprint และ Carbon Footprint นับว่าไม่แตกต่างกันมากนัก โดย Water Footprint เป็นแนวคิดเกี่ยวกับปริมาณการใช้น้ำในการผลิตสินค้า และบริการอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันขององค์การระหว่างประเทศที่ตระหนักถึงความสำคัญของวิกฤติน้ำที่เกิดขึ้น เช่น UNESCO IFC WWF และ WBCSD เป็นต้น โดยได้ร่วมกันจัดตั้งเครือข่าย Water Footprint ทำการศึกษา footprint ในสินค้า และบริการต่างๆ ที่แต่ละประเทศผลิต และขยายไปในระดับโลก ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถเข้าไปศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.waterfootprint.org
Water footprint เป็นเครื่องชี้วัดการใช้น้ำของผู้บริโภคหรือผู้ผลิตไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อม ดังนั้น Water footprint ของสินค้าหรือบริการ จึงเป็นปริมาณน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยคำนวณปริมาณน้ำจากผลรวมของทุกขั้นตอนตลอดห่วงโซ่ของการผลิตสินค้าและบริการนั้น ปริมาณน้ำที่ใช้สามารถวัดได้จากปริมาณน้ำที่ใช้ไปและ / หรือปริมาณน้ำเสียที่ปล่อยออกมา ทำให้ Water footprint เป็นเครื่องชี้วัดที่ชัดเจน เพราะไม่ได้แสดงให้เห็นถึงปริมาณน้ำที่ใช้และปริมาณน้ำเสียที่ปล่อยออกมาเท่านั้นหากแต่แสดงให้เห็นถึงสถานที่และระยะเวลาที่เกิดการใช้น้ำ
Water footprint ทั้งหมดสามารถแยกออกเป็น 3 ส่วน คือ (1) blue water footprint (2) green water footprint และ (3) gray water footprint แต่ละส่วนมีที่มาแตกต่างกันออกไป ดังนี้
Blue Water Footprint รอยย่ำน้ำสีน้ำเงิน (แปลตามสำนวนผู้เขียนเอง) ปริมาณน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติทั้งแหล่งน้ำผิวดินเช่นน้ำในแม่น้ำทะเลสาบรวมทั้งน้ำในอ่างเก็บกักน้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ และแหล่งน้ำใต้ดินอันได้แก่น้ำบาดาล ที่ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
Green Water Footprint รอยย่ำน้ำสีเขียว หมายถึง ปริมาณน้ำที่อยู่ในรูปของความชื้นในดินที่ถูกใช้ไปในการผลิตสินค้าและบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตพืชผลทางการเกษตร การทำไม้ และทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
Gray Water Footprint รอยย่ำน้ำสีเทา หมายถึง ปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งคำนวณจากปริมาณน้ำที่ใช้ในการบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดีตามค่ามาตรฐาน ดังนั้น Water Footprint จึงมีทั้งปริมาณน้ำที่ใช้โดยตรงและโดยอ้อม ปริมาณน้ำที่ใช้ดังกล่าวต่างก็ประกอบด้วยรอยย่ำของน้ำทั้ง 3 ประเภท ทั้งนี้ รอยย่ำสีน้ำเงิน และสีเขียวเป็นปริมาณน้ำที่ใช้ หรือ water consumption ส่วน รอยย่ำสีเทาเป็น ปริมาณน้ำเสีย หรือ water pollution
สำหรับหน่วยวัดของ water footprint มีหน่วยเป็น ลูกบาศก์เมตร/ตัน โดย water footprint ในพืช คำนวณจาก ปริมาณน้ำที่พืชใช้ (ลูกบาศก์เมตร/เฮกตาร์) / ปริมาณผลผลิตของพืชนั้น (ตัน/เฮกตาร์) ส่วน water footprint ในสัตว์ คิดจาก ปริมาณน้ำทั้งหมด ในการผลิตและให้อาหารสัตว์ น้ำดื่มของสัตว์ และน้ำที่ใช้ในการกิจการเลี้ยงสัตว์อื่นๆ เช่น น้ำที่ใช้เพื่อทำความสะอาดคอกสัตว์ น้ำที่ใช้ในการระบายความร้อน เป็นต้น สำหรับ water footprint ในผลิตภัณฑ์จากพืชและสัตว์ เป็นผลรวมของ water footprint การผลิตผลิตภัณฑ์จากพืชและสัตว์ ตั้งแต่เริ่มกระบวนการจนกระทั่งสิ้นสุดได้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์นั้นๆ รอยย่ำของน้ำ-เท่าไหร่?
จากข้อมูลรายงานการศึกษาของ ศาสตราจารย์ Arjen Y. Hoekstra แห่ง Twente Water Center, University of Twente เนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับ water footprint ในอาหาร โดยนำเสนอข้อมูลในระดับโลกและระดับประเทศเป็นรายสินค้า ภายใต้กรอบแนวคิดใหม่ที่นำผู้ใช้น้ำเสมือนเข้ามามีส่วนร่วมใน water footprint ด้วย จากเดิมตีกรอบแนวคิดเฉพาะ water footprint ของประเทศนั้นๆ เท่านั้น หมายถึง ปริมาณน้ำที่ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการของประเทศนั้น ไม่ว่าสินค้าหรือบริการนั้นจะผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศ หรือเพื่อการส่งออกก็ตาม โดยประเทศผู้นำเข้าสินค้าและบริการนั้นไม่มีส่วนรับผิดชอบกับปริมาณ water footprint ดังกล่าวแต่อย่างใด
แนวคิดใหม่ที่นำน้ำเสมือนมาคำนวณด้วย จะทำให้มองเห็นภาพรวมของ water footprint ในระดับโลกอย่างแท้จริง และสามารถนำข้อมูลที่ได้มาจัดการทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์ และประสิทธิภาพสูงสุด water footprint ของแต่ละประเทศภายใต้แนวคิดใหม่นี้ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ water footprint ภายใน หมายถึง ปริมาณน้ำที่ใช้ภายในประเทศเพื่อผลิตสินค้าและบริการสำหรับประชาชนในประเทศนั้นและ water footprint ภายนอกหมายถึงปริมาณน้ำที่ใช้ในประเทศอื่น เพื่อผลิตสินค้าและบริการให้ประเทศนั้นนำเข้ามาบริโภค ดังนั้น ปริมาณน้ำเสมือนที่ส่งออก(virtual water export) มีค่าเท่ากับผลรวมระหว่างปริมาณน้ำเสมือนที่นำเข้าเพื่อการส่งกลับสินค้าและบริการ (virtual water import for re-export)กับปริมาณน้ำที่ใช้เพื่อการส่งออกและผลรวมของปริมาณน้ำเสมือนที่นำเข้า (virtual water import) กับปริมาณน้ำที่ใช้ในประเทศนั้น(water use within country) คือ จำนวนของปริมาณน้ำเสมือน (virtual water budget) ของประเทศนั้น
ผลการศึกษาในช่วงปี 1997-2001 พบว่า ค่าเฉลี่ย water footprint ของโลก เท่ากับ 1,243ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี โดยประเทศที่มีwater footprint สูงสุด 10 อันดับแรก (คิดเป็นสัดส่วนต่อจำนวนประชากร) ได้แก่
(1) สหรัฐเอมริกา 2,485 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(2) อิตาลี 2,332 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(3) ไทย 2,223 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(4) แคนาดา 2,049 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(5) ฝรั่งเศส 1,875 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(6) รัสเชีย 1,858 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(7) เยอรมนี 1,545 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(8) เม็กซิโก 1,441 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(9) ออสเตรเลีย 1,393 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(10) บราซิล 1,381 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
สำหรับค่า water footprint ของประเทศไทยสูงถึงอันดับ 3 ของโลก เป็นผลมาจากการใช้น้ำที่ขาดประสิทธิภาพ โดยมีการใช้น้ำต่อการผลิตสินค้า1 หน่วยสูงมากเมื่อเปรียบเทียบประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้น้ำในการเกษตรสูงถึง 2,131 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี ซึ่งเกิดจากการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นสำคัญ ทำให้มีผู้ใช้น้ำเสมือนในประเทศไทยเป็นจำนวนมากจนอาจจะสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยได้
(1) สหรัฐเอมริกา 2,485 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(2) อิตาลี 2,332 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(3) ไทย 2,223 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(4) แคนาดา 2,049 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(5) ฝรั่งเศส 1,875 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(6) รัสเชีย 1,858 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(7) เยอรมนี 1,545 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(8) เม็กซิโก 1,441 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(9) ออสเตรเลีย 1,393 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
(10) บราซิล 1,381 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี
สำหรับค่า water footprint ของประเทศไทยสูงถึงอันดับ 3 ของโลก เป็นผลมาจากการใช้น้ำที่ขาดประสิทธิภาพ โดยมีการใช้น้ำต่อการผลิตสินค้า1 หน่วยสูงมากเมื่อเปรียบเทียบประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้น้ำในการเกษตรสูงถึง 2,131 ลูกบาศก์เมตร/คน/ปี ซึ่งเกิดจากการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นสำคัญ ทำให้มีผู้ใช้น้ำเสมือนในประเทศไทยเป็นจำนวนมากจนอาจจะสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยได้
นอกจากนี้ ยังได้คำนวณหาค่าเฉลี่ยในระดับโลกสำหรับปริมาณน้ำเสมือนที่ใช้ในการผลิตสินค้าต่อหน่วย มีหลายค่าที่น่าสนใจ เช่น เบียร์ 1 แก้ว (250 มิลลิลิตร) ใช้น้ำในกระบวนการผลิตทั้งหมด 75 ลิตร นม 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) ใช้น้ำ 200 ลิตร กาแฟ 1 แก้ว (140 มิลลิลิตร)ใช้น้ำ 140 ลิตร ไวน์ 1 แก้ว (125 มิลลิลิตร) ใช้น้ำ 120 ลิตร น้ำส้ม 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) ใช้น้ำ 170 ลิตร ไข่ 1 ฟอง (40 กรัม) ใช้น้ำ 135 ลิตร เสื้อยืดคอกลมทำจากเส้นใยฝ้าย 1 ตัว ใช้น้ำ 2,000 ลิตร กระดาษ ขนาด A4 ความหนา 80 แกรม 1 แผ่น ใช้น้ำ 10 ลิตร หรือแม้แต่ ไมโครชิป (2 กรัม) 1 ตัว ใช้น้ำ 32 ลิตร จากที่กล่าวมาข้างต้น สาเหตุหนึ่งของวิกฤติน้ำเกิดจากการผลิตพืชทดแทนพลังงาน ซึ่งมีรายงานว่า การผลิตพืชพลังงานทดแทนในแต่ละชนิดจะใช้ปริมาณน้ำที่แตกต่างกัน โดยแยกเป็น blue water และ green water กล่าวคือ กรณีการผลิตเอทานอล 1 ลิตร จากอ้อย ใช้น้ำทั้งหมด 2,516 ลิตร เป็น blue water 1,364 ลิตร green water 1,152 ลิตร ถ้าผลิตเอทานอล 1 ลิตร จากมันสำปะหลัง ใช้น้ำทั้งหมด 2,926 ลิตร เป็น blue water 420 ลิตร green water 2,506 ลิตร หรือการผลิต biodiesel 1 ลิตร จากถั่วเหลือง ใช้น้ำ 13,676 ลิตร เป็น blue water 7,512 ลิตร และgreen water 6,155 ลิตร ซึ่งคงต้องหาแนวทางอื่นๆ มาประกอบกันเพื่อให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
คาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ หากการศึกษาด้าน water footprint สมบูรณ์กว่าปัจจุบัน และหน่วยงานที่ดำเนินการเรื่องดังกล่าว สามารถผลักดันให้ทั่วโลกเห็นความสำคัญของปัญหาทรัพยากรน้ำของโลกที่ใกล้เข้าสู่วิกฤติได้ เชื่อแน่ว่าเราจะได้เห็นการบังคับให้ติดฉลาก water footprint ในสินค้าและบริการอย่างแน่นอน เพราะมนุษย์ทุกคนคงอยากได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ผู้รักษ์โลก มากกว่ามนุษย์ที่เกิดมาเพื่อการทำลายล้างเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญที่มิอาจมองข้ามได้ คือ ความจริงที่ว่าขาดน้ำมันเรายังมีชีวิตอยู่ได้แต่ขาดน้ำ ชีวิตของมนุษย์ต้องจบสิ้นแน่นอน ตื่นกันเถอะพี่น้อง โลกเขาไปถึงไหนแล้ว!
ที่มา : อังคณา สุวรรณกูฏ กองบรรณาธิการจดหมายข่าวผลิใบฯ กรมวิชาการเกษตร จตุจักร กรุงเทพฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น